ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ประสบการณ์

๒๕ มี.ค. ๒๕๕๕

 

ประสบการณ์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๘๒๖. ไม่มีเนาะ

ถาม : ข้อ ๘๒๗. เรื่อง “มันไม่ยอมพิจารณา”

กราบนมัสการ จิตมันจ่อเรื่องความตาย จู่ๆ มันก็เป็นเอง แต่พอเข้าภาวนา จิตรวมลงแล้วปลงเรื่องความตาย รวมลงถึง ๗ ครั้ง ถอยเข้า ถอยออกอย่างนั้น ละเอียดลงๆ แต่ทำไมมันไม่พิจารณาเวทนา กาย จิต ธรรมเหมือนเก่าครับ หรือว่าสมาธิกำลังไม่พอก็ไม่น่าจะใช่ จิตรวมขนาดนี้ ปกติมันจะพิจารณาแล้ว มันเป็นเพราะเหตุใด? ขอพระอาจารย์ช่วยด้วยครับ

ตอบ : นี่เวลาถ้ามันพิจารณา เห็นไหม สิ่งที่ว่าจู่ๆ มันก็รวมลง แล้วมันภาวนาไป อย่างนี้มันถือว่าส้มหล่น การปฏิบัตินะ ดูสิคนนี่ช้างเผือก ช้างเผือกในป่าเขามีความสามารถพิเศษ เขามีความสามารถพิเศษ ถ้าคนที่เป็นผู้ชำนาญการไปเห็นเข้า จะเอาช้างเผือกมาฝึกฝน ถ้าเอาช้างมาฝึกฝน จนช้างเผือกนั้นนี่นักกีฬาประเภทใด จนเขาประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จเพราะอะไรล่ะ? เพราะการฝึกฝน พอเขาฝึกฝนเขามีสติปัญญา เขามีปฏิภาณของเขา เขาสามารถดึงความสามารถของเขาออกมาใช้งานได้

ฉะนั้น เวลาช้างเผือกนะ เวลาเขามีความชำนาญพิเศษ เขามีปฏิภาณไหวพริบที่ดี แต่คนเรานะไม่ได้เอาสิ่งนั้นมาใช้ ช้างเผือกเขาจะอยู่ในป่านั้น เหมือนเยาวชนอยู่ในป่าในเขา นี่เขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้นแหละ ตามแต่อาชีพเขาที่เขาศึกษา เขามีอาชีพสิ่งใดเขาก็ทำสัมมาอาชีวะของเขา แต่ถ้าผู้ที่เขาอยู่ในวงการ เขาไปเห็นคนนี้มีความสามารถพิเศษ เขาเอามาฝึก เอามาฝนของเขา เขาจะดึงความสามารถพิเศษของเขาออกมาใช้ แล้วถ้าดึงความสามารถพิเศษออกมาใช้ เขาเองจะประสบความสำเร็จในชีวิตเขา แล้วเขาจะสร้างประโยชน์กับสังคมมหาศาลเลย ถ้าเป็นประโยชน์นะ

นี้พูดถึงช้างเผือกเขาเอามาใช้งาน มีผู้ที่เอามาขัดเกลา เอามาฝึกฝน เอามาให้ช้างเผือกได้เป็นประโยชน์กับตัวเขาด้วย ประโยชน์กับสังคมด้วย ย้อนกลับมาในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เขาบอกว่า “จู่ๆ จิตมันก็เป็นเอง” นี่ส้มหล่น ถ้าจู่ๆ จิตที่มันเป็นเอง จู่ๆ จิตมันเป็นเอง พอจิตมันรวมลงแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม แล้วมันพิจารณาของมันไปมันเป็นเอง นี่ช้างเผือก

คือช้างเผือกหมายถึงว่าวาสนาของคน การกระทำของคน แต่เวลาให้ทำจริงๆ เวลาจิตมันรวมลงแล้วมันรวมลง ๗ หน ๘ หน ทำไมมันไม่พิจารณา? ถ้ามันไม่พิจารณา ช้างเผือกถ้ามันอยู่ในป่านะ ไม่มีใครไปเห็นมัน มันก็เป็นช้างธรรมดาอยู่ในป่านั่นแหละ แต่คนที่เขารู้ถึงรูปพรรณสัณฐาน เขารู้ถึงคุณสมบัติของมัน เขาถึงเอาช้างเผือกนั้นมาเป็นประโยชน์ จิตถ้ามันรวมลงแล้ว ถ้าใครมีสติปัญญา เห็นไหม เขาจะเอาจิตนั้นออกมาใช้ประโยชน์ไง นี่จู่ๆ มันเป็นของมันเอง แล้วก็รอให้เป็นเอง

นี่โดยส่วนใหญ่ โดยมาก คนเราผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจะมีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ จิตสงบแล้วมันจะพิจารณา ประเดี๋ยวพอน้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา เดี๋ยวปลามันจะวิ่งมาให้จับ มีไหม? มีไหมว่าเราไปทะเล แล้วปลามันจะวิ่งเข้ามาให้เราจับให้มาเป็นอาหาร นี่มีไหม? ไม่มีหรอก ปลานะมันก็รักชีวิตมัน ปลามันก็ห่วงชีวิตมัน ปลามันก็ต้องว่ายหนี มันจะหลบซ่อนของมัน ขนาดเราเอาเหยื่อไปล่อ ไปตกปลานะ ถ้าปลามันฉลาดนะมันตอดแต่เหยื่อ มันไม่กินเบ็ด มันตอดแต่เหยื่อแล้วมันก็ไป

แม้แต่ปลานะ น้ำใสจะเห็นตัวปลา นี่โดยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแปลมาอย่างนั้นแหละ ภาวนานะ พุทโธ พุทโธนะ ทำจิตให้สงบนะ พอจิตสงบแล้ว พอน้ำมันใสแล้วมันจะเห็นตัวปลานะ ปลามันจะวิ่งมาให้จับ แล้วจะได้เอาไปย่าง เอาไปกิน นี่พูดถึงเราคิดของเรา แล้วธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกไว้เป็นแนวทางอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงนี่ปลามันมีชีวิต ปลามันรักชีวิตของมัน ปลามันไม่ยอมให้จับง่ายๆ หรอก ถ้ามันรู้ว่ายักษ์ มนุษย์คือยักษ์ จับมันก็ตาย จับมันได้ก็กิน แล้วมันจะยอมให้เราจับไหม?

กิเลสนี้เปรียบเหมือนปลา เปรียบเหมือนปลาอยู่ในหัวใจเรา ถ้ากิเลสนี้เปรียบเหมือนปลา มันจะให้เราจับง่ายๆ ไหม? นี่ไงบอกว่า “พอจิตมันจ่อลงเรื่องความตาย จู่ๆ มันก็เป็นเอง” เห็นไหม มันภาวนานี่ติดใจ ปลามันวิ่งมาชนตัวหนึ่งก็ติดใจ แต่ปลาทั้งฝูงมันไม่เข้ามานะ ไม่เข้ามาหรอก ฉะนั้น เวลาจิตเราสงบแล้วต้องกางกั้น ต้องวางตาข่าย ต้องวางแห ต้องวางอวนเพื่อดักจับปลา ถ้าเรามีตาข่าย มีแห มีอวนจับปลาได้นะ เราจะเอาปลานั้นมาเป็นอาหารได้

จิตสงบแล้วต้องฝึกหัดการใช้ปัญญา ต้องน้อมไปสู่กาย ไปสู่เวทนา สู่จิต สู่ธรรม เห็นไหม เวลาธรรมมันเกิด ธรรมารมณ์ อารมณ์ที่ขุ่นมัว เวลาจิตสงบแล้วมันมีอารมณ์ขุ่นมัวอีกหรือ? จิตสงบมันใสหมดเลย แล้วอะไรมันขุ่นมัว? อะไรมันขุ่นมัว? อ้าว สิ่งที่ขุ่นมัว พอใสแล้วนะเดี๋ยวมันคลายตัวออกมามันก็รับรู้ได้ เดี๋ยวใส เดี๋ยวเศร้าหมอง นี่ขุ่นมัวๆ เดี๋ยวใส เดี๋ยวเศร้าหมอง เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวสว่าง เดี๋ยวสงบ เดี๋ยวไม่สงบ นี่ไงจับสิ จับมาพิจารณา

นี่เวลาจับมาพิจารณาเขาต้องจับอย่างนี้ การฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก หลวงตาท่านบอกว่า “ปัญญาต้มแกงกินไม่ได้” คือปัญญาเอามาใช้ประโยชน์อื่นไม่ได้ ปัญญาจะใช้ได้เอาไว้จับกิเลส เอาไว้ฝึกฝนเรา ปัญญาต้มแกงกินได้ไหม? ไม่ได้ มันต้องเนื้อสัตว์ มันต้องกุ้ง หอย ปู ปลาเอามาต้มกิน แกงกินได้ ปัญญาเป็นนามธรรมเอามาต้มแกงกินไม่ได้หรอก นี้ปัญญาที่เอามาต้มแกงกินไม่ได้ เห็นไหม แต่เอามาใช้ฆ่ากิเลสได้ ถ้าเอามาใช้ฆ่ากิเลสได้จะใช้อย่างไร?

นี่คำถามถามว่าเขาเคยเป็นไง เคยเป็น เห็นไหม บอกว่า

ถาม : จิตมันเคยรวมลง แล้วพิจารณาจู่ๆ มันก็พิจารณาความตาย แล้วมันเป็นความฝังใจมาก ฉะนั้น ทำให้จิตสงบถึง ๗ หน ๘ หนแล้วนี่มันละเอียดลง ทำไมมันไม่พิจารณา? ทำไมมันไม่พิจารณา?

ตอบ : แล้วรอเมื่อไหร่มันจะพิจารณาล่ะ? เจ้าหน้าที่นะนั่งอยู่ที่สถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจนั่งอยู่ที่สถานี แล้วบอกให้คนร้ายมามอบตัว รอไปเถอะ มึงรอไป นั่งอยู่ที่สถานีนะ อ้าว ใครทำผิดมามอบตัวเร็ว ใครทำผิดมาให้จับ ไม่มีทาง

เจ้าหน้าที่เขาต้องสืบสวน สืบว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วยังต้องจัดเป็นกองร้อยไปจับมัน ไปจับมันมาเสร็จแล้วนะมันบอกมันไม่ได้ทำๆ จับคนบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ผุดผ่องจับมาทำไม? นี่โจรอยู่ที่อื่น มันบริสุทธิ์ผุดผ่อง มันไม่ยอมหรอก จับมันมาได้ยังต้องมาสอบสวน ต้องหาพยานหลักฐาน นี่พยานหลักฐาน เสร็จแล้ว สอบสวนเสร็จต้องส่งฟ้องศาล ศาลยังต้องพิจารณาพยานหลักฐานว่าจริงหรือไม่จริง ถ้าจริงแล้วถึงได้ลงโทษว่าต้องโทษหนักเบาแค่ไหน?

อันนี้ก็เหมือนกัน ฉะนั้น การภาวนานะครูบาอาจารย์ที่ท่านภาวนาท่านจะมีประสบการณ์อย่างนี้ การขุดคุ้ยหากิเลสนี้เป็นงานอย่างหนึ่ง จำไว้นะ จำไว้ให้ดีนะ

“การขุดคุ้ยหากิเลสเป็นงานอย่างหนึ่ง การพิจารณาฆ่ากิเลสเป็นงานอีกอย่างหนึ่ง”

เวลาเราทำจิตสงบแล้วนี่จิตเราสงบแล้ว ไม่มี ว่างหมดเลย แล้วคนติดกันแค่นี้ นี่ความสงบระงับ ความว่างเป็นนิพพาน ทุกอย่างเป็นนิพพาน นี่ไม่ขุดคุ้ยหากิเลส การขุดคุ้ยหากิเลสเป็นงานอย่างหนึ่งนะ กิเลสมันอยู่ที่ไหน? กิเลสมันอยู่ที่ไหน? ดูสิเรามองไปในทะเลนะเราจะเห็นเลยทะเลนี้ราบเรียบหมดเลย แต่สัตว์น้ำในทะเลมหาศาล สัตว์น้ำในทะเล

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันสงบแล้วทะเลราบเรียบหมดเลย แล้วทำอย่างไรต่อล่ะ? ทำอย่างไรต่อ? อ้าว ปลาให้วิ่งมาชนเราหรือ? เห็นไหม การขุดคุ้ยหากิเลส จิตสงบแล้วต้องฝึกหัดออกใช้ปัญญา การฝึกหัดใช้ปัญญา ใช้ปัญญาในอะไร? ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้ามันยังจับต้องสิ่งใดไม่ได้ก็ฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญาในการดำรงชีวิต ปัญญาในการประพฤติปฏิบัติเขาเรียกว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ”

ปัญญาอบรมสมาธินี่ฝึกหัดใช้ปัญญา จนให้ปัญญานี้เข้มแข็ง ปัญญานี้มีความชำนาญ พอมีความชำนาญขึ้นไปมันฝึกหัดบ่อยครั้งนะ ในชีวิตเรา ชีวิตเรามันคืออะไร? ชีวิตเรามันก็ปกคลุม มันมีจิต มีจิตนี่มันปกคลุมด้วยอวิชชา นี่ถ้ารื้อค้นไปเรื่อยๆ ฝึกหัดไปเรื่อยๆ มันต้องฝึกหัดอย่างนี้มันถึงจะเป็นขึ้นมา เหมือนนักมวย นักมวยตั้งแต่นักมวยฝึกหัดขึ้นชกตามงานวัด พอฝึกหัดขึ้นชกตามงานวัดแล้ว พอมีชื่อเสียงขึ้นมาก็ชกในเวทีภูธร พอชกในเวทีภูธรเสร็จแล้วก็ชกในเวทีเมืองหลวง พอชกเสร็จแล้วก็ไปชกต่างประเทศ ไปชิงเข็มขัด

นี่ก็เหมือนกัน ฝึกหัดใช้ปัญญา เห็นไหม เราฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ปัญญาในชีวิตนี้ เราบวชมาเป็นพระ เราเป็นนักปฏิบัติ นี่เราบวชมาทำไม? เราเห็นคุณ เห็นโทษอย่างไร? ความเป็นอยู่เป็นอย่างไร? พิจารณาอย่างนี้มันจะละเอียดขึ้นมาเรื่อยๆ ละเอียดขึ้นมาจนจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมันนะ พอมันพิจารณาละเอียดเข้าไป เดี๋ยวมันจะได้ตัวตนของมัน

ตัวตนคืออะไร? ตัวตนคือกิเลสเป็นนามธรรม กิเลสมันคืออะไร? กิเลสมันใช้น้ำหนักอย่างไร? กิเลสมันมีรูปร่างรูปลักษณะเป็นอย่างไร? กิเลสนะมันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับความคิด เวลามันไหลไป เห็นไหม อนุสัยมันนอนเนื่อง ความรู้สึกนึกคิดนี่กิเลสมันร่วมมาด้วย แล้วมันร่วมมาด้วยมันไปชอบใจสิ่งใด? ไม่มีใครรักคนอื่นเท่ากับตัวเอง ความผูกพัก ความรักตนเองนี่อันดับหนึ่ง แต่มันปิดบังไว้นะ รักฝ่ายตรงข้ามไง หญิงก็รักชาย ชายก็รักหญิง แต่ความจริงมันรักตัวมันเอง ลึกๆ มันรักตัวเองมัน เพราะมีเรามันถึงมีเขา

นี่พอหยาบๆ มันเห็นได้หยาบๆ ไง มันไม่เห็นลึกๆ หรอก ถ้าละเอียดๆ เข้าไป ถึงที่สุดแล้วนะภวาสวะ ตัวภพนะ ตัวภพ ตัวเฉยๆ อยู่ นั่นแหละกิเลสอันละเอียดที่สุดเลย ตัวจิต จิตเดิมแท้นั่นแหละ เพราะตัวมันเองมันก็มีพลังงานในตัวมันเอง แล้วจะทำลายอย่างไรจะให้มันพ้นจากพลังอันนั้นไป

ฉะนั้น เขาถามว่า

ถาม : แล้วจะทำอย่างไรต่อไป? เคยพิจารณาได้ไง จิตมันเคยพิจารณาความตาย แล้วมันรวมลง ภาวนาแล้วติดใจมาก

ตอบ : ฉะนั้น ทำจิตให้รวมลงแล้วหลายครั้ง แต่ทำไมมันถึงไม่ยอมพิจารณาล่ะ? มันจะยอมพิจารณาอย่างไรล่ะ? การพิจารณาอย่างนั้นมันเป็นอำนาจวาสนา ศัพท์ของเรา เราใช้คำว่า “ส้มหล่น”

คนเรานี่มีโอกาสส้มหล่นกันหลายๆ คนนะ เวลาส้มหล่นหมายถึงว่าจิตมันสงบ หรือจิตมันมีความรู้สึกนึกคิด มันคิดถึงเรื่องความตาย คิดถึงชีวิตเรานี่มันเศร้า มันเหงา มันหงอยนั่นแหละ แล้วอู้ฮู ฝังใจมาก อยากได้อย่างนี้อีก อยากได้อย่างนี้อีก คราวนี้ไม่ได้แล้ว คราวนี้กิเลสมันรู้ทันแล้ว พอจะคิดเรื่องนี้มันชักไปเรื่องอื่นเลยนะ อย่าคิดเรื่องนี้เลยเรื่องนี้ไม่ดีหรอก เราอยากจะสร้างปราสาท ๓ หลังกันดีกว่า เราอยากจะไปดาวอังคาร โอ๋ย มันชักออกข้างนอกเลย พอจะเข้ามานี่มันเข้ามายาก แต่ถ้าเราฝึกหัด เห็นไหม พอจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา

ต้องฝึกหัดนะมันไม่มาเองหรอก ส่วนใหญ่คนปฏิบัติเขาบอกศีล สมาธิ ปัญญา จิตสงบแล้วปัญญาจะเกิดขึ้นเอง ปัญญามันจะเกิดจากสมาธิ เกิดจากสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากสมาธิคือปัญญาอบรมสมาธิ มันไม่ใช่ปัญญาฆ่ากิเลส ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญา เหมือนกับเรานี่ นักกีฬาก็ต้องมีวินัยกับตัวเอง ใครมีวิชาชีพสิ่งใดก็ต้องมีกฎกติกากับตัวเอง เพื่อให้ตัวเองมีหลักมีเกณฑ์

การปฏิบัติมันก็มีปัญญากับตัวเอง ปัญญาอบรมสมาธิคือควบคุมตัวเองไง ศีลต้องบริสุทธิ์ เราอย่าไปอยู่ในที่คนพลุกพล่าน เราต้องอยู่ที่ที่สงบสงัด นี่ปัญญาอย่างนี้คือปัญญาอบรมสมาธิ แต่พอคนไม่เข้าใจก็ว่าปัญญาอย่างนี้คือปัญญาฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสเพราะอะไร? เพราะรักษาใจให้สงบได้ไง เออ จิตสงบนี่เป็นนิพพาน แต่ความจริงคือปัญญาอบรมสมาธิ แต่ถ้ามันเป็นปัญญาที่จะเกิดชำระกิเลสนะ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค มรรค ผล นิพพาน

มรรค ผล นิพพานนี่มันเป็นธรรมเหนือโลกนะ ธรรมเหนือโลก นี้ธรรมของเราธรรมอยู่ในโลก ธรรมในโลกหมายถึงว่าคุณงามความดีของปุถุชน คุณงามความดีของโลกคือมันเวียนตาย เวียนเกิดในวัฏฏะ แต่ที่เราทวนกระแสกันนี่เราจะฉีกออกจากวัฏฏะ การที่จะฉีกออกจากวัฏฏะ เราจะใช้ปัญญาอย่างนี้ พฤติกรรมอย่างนี้ ความเป็นอยู่อย่างนี้มาชำระกิเลสได้ไหม? เพราะเราเกิดมากับกิเลสไง

เช่น เราเป็นโจร เราเป็นโจรนี่เราจะจับโจรไหม? เราเป็นโจรเราก็อยู่กับโจรใช่ไหม? เราอยู่กับโจร อยู่กับโจรเราก็ต้องหาประโยชน์จากโจรใช่ไหม? ในเมื่อเราอยู่ใต้อำนาจของกิเลส เราจะฆ่ามันไหม? เราจะทำลายกิเลสไหม? กิเลสมันมีอำนาจเหนือเรา มันพาให้เราเกิดมา มันพาให้เราเกิด เราตายอยู่นี่เราจะทำลายมันไหม? แล้วเรามีความคิดอยู่ในอำนาจของกิเลส เห็นไหม นี่โลกียปัญญา ปัญญาของกิเลส แต่ถ้าจะเกิดโลกุตตรปัญญา ปัญญาที่จะฆ่ากิเลส ปัญญาที่เหนือกิเลส

นี่เราเป็นโจร เราอยู่ในชุมชนของโจร แต่เรามีความสำนึกผิด ถ้าเราทำความชั่วอย่างนี้ เราเที่ยววิ่งปล้นชิงทรัพย์เขาอยู่อย่างนี้ เราจะเกิดบาปอกุศล เกิดในชาติหน้า เกิดในชาติต่อไปเราต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเป็นสัตว์ ต้องใช้สิ่งที่เราไปช่วงชิงเขามา ถ้ามันมีความรู้สึกนึกคิดมันก็เริ่มสลดใจ พอเริ่มสลดใจ เราเป็นโจร เราอยู่กับชุมชนโจร เราจะทำตัวอย่างไรให้ออกจากชุมชนนี้ ให้ออกจากอิสระ

นี่ไงเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา กลับมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่จะเป็นดีหรือชั่ว ถ้ามนุษย์เป็นดีหรือชั่ว แล้วเราทำดีของเรา นี่โลกุตตระ จากโลกียปัญญามันเป็นโลกียปัญญา ถ้าจิตเรากลับมาสงบแล้ว เราใช้ปัญญาของเรา เราจะออกโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาคืออะไร? โลกุตตรปัญญาคือการรื้อค้นในการผูกพันกับตัวเองไง

จิตมันติดในอะไร? จิตมันติดในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ถ้ามันมารื้อค้น มันมาปลดเปลื้อง ปลดเปลื้องความผูกพันของจิตที่มันผูกพันกับกาย เวทนา จิต ธรรม นี่ไงโลกุตตรธรรม แต่โลกียธรรมนะ โลกียธรรม เห็นไหม อู๋ย ปัญญานี่เลอเลิศ ปัญญานี้เก่งกล้าสามารถ นั้นเป็นปัญญาโลกๆ นะ ถ้าปัญญาโลกุตตรธรรมนี่กลับมา

นี้เขาถาม เพราะคำถามว่า

ถาม : หลวงพ่อ จะพิจารณาอย่างไร? จะทำอย่างไรช่วยบอก เพราะมันเคยทำได้ แล้วอยากทำได้อีก

ตอบ : เคยทำได้ นี่สิ่งนั้นคือส้มหล่น คือสิ่งที่เรามีอำนาจวาสนามา ดีนะ เป็นการยืนยันว่าเราได้รู้ ได้เห็น ทีนี้เราปฏิบัติไป เราได้รู้ ได้เห็นแล้วมันถึงเทียบได้ สิ่งที่จู่ๆ มันพิจารณาของมันเอง พิจารณาถึงความตายแล้วมันมีความสงบ มันมีการปล่อยวาง เห็นไหม อันนั้นแหละเวลาประสบการณ์ เวลาธรรมมันเป็นแบบนั้นแหละ แต่เวลามันเป็นโลกียะ มันเป็นความคิดจากกิเลส มันถึงหยาบใช่ไหม? เราถึงได้อยากได้อย่างนั้นอีก ถ้าอยากได้อย่างนั้นอีกเราก็ต้องยกจิตเราขึ้น แล้วฝึกหัดขุดคุ้ยหาให้เจอ ขุดคุ้ยหาของเราเอง

นี่สมัยพุทธกาลนะ เวลาพระออกพรรษาแล้วก็จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไปขออุบายนี่แหละ คนนู้นก็ไปรายงานอย่างนั้น ผิดอย่างไร? ทำอย่างไร? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะคอยชี้แนะ จะคอยบอกอุบาย มันก็มีช่องทางไปได้ ในปัจจุบันนี้ ในวงกรรมฐานเรา สมัยก่อนจะมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาออกพรรษาแล้วนี่ครูบาอาจารย์จะไปหาหลวงปู่มั่น นี่จะเอาประสบการณ์ เอาการปฏิบัติของเราไปรายงานท่าน แล้วท่านก็จะคอยเทศน์ คอยชี้ คอยนำ คอยบอกไป แต่ในปัจจุบันนี้ใครจะเชื่อใครล่ะ? มันมีแต่หมูหัน

หมูนี่เวลาเขาจะหันเขาเสียบก้นมัน แล้วเขาก็หมุนนะ ย่าง นี่มันจะหันแบบหมูหัน มันไม่หันแบบการประพฤติปฏิบัติ แล้วเราจะเชื่อใครล่ะ? ฉะนั้น คำว่าเราเชื่อใคร? เรามีครู มีอาจารย์นะ ท่านจะคอยชี้นำอย่างนี้ เราปฏิบัติไปเราจะมีช่องทาง ฉะนั้น ถ้าอย่างนี้เราจะต้องยึดหลักของเรา หลวงตาท่านสั่งไว้ประจำ เวลาท่านพูดกับพระนะ

“อยู่กับผู้รู้ อยู่กับพุทโธจะไม่ผิด จะทำอย่างไรก็แล้วแต่อย่าทิ้งผู้รู้นะ อย่าทิ้งหัวใจของเรา อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ เกาะตรงนี้ไว้ อย่างไรก็ไม่เสียหาย”

นี่ถ้าไม่เสียหาย เรายึดหลักนี้ไว้ แล้วเราปฏิบัติไป แล้วถ้ามีปัญหาอย่างไรถามมาใหม่ ถ้ามีปัญหานะ ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ปฏิบัติจริงนะ ขอให้มีปัญหาจริงแล้วถามมา ถามมา

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าปฏิบัติ จู่ๆ พิจารณาความตายไปแล้ว ดีแล้ว นี่มันเป็นอดีตไปแล้ว แล้วในปัจจุบันจะรอให้มันมาเอง จะรอให้มันวิ่งมาชนเราไม่มีหรอก จะรอให้ปลาวิ่งมาชนเราเป็นไปไม่ได้หรอก เราจะต้องฝึกหัด จิตสงบแล้วรำพึงถึงความตาย รำพึงถึงกาย รำพึงถึงเวทนา รำพึง รำพึงในสมาธิ จิตสงบแล้วดึงมันออกทำงาน ถ้ามันทำงานมันจะได้ใช้ปัญญา ใช้ปัญญาแล้วมันจะได้ผลอย่างนี้ มันจะไม่เกิดเอง

ข้อ ๘๒๘. เนาะ

ถาม : ๘๒๘. เรื่อง “เข้าใจเรื่องธาตุลม” (วันนั้นตอบเขาไปนะ)

กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากๆ หลวงพ่ออธิบายได้ชัดเจนมาก โยมได้รับฟังแล้ว เข้าใจแล้วค่ะตรงเรื่องของลม และไม่ได้กล่าวโทษหลวงปู่ลี หรือครูบาอาจารย์องค์ใด เพียงแต่โยมติดขัดในการภาวนา เพราะโยมปล่อยให้ข้าศึกเข้าบ้านตลอดเวลา หลงโง่ซะตั้งนานเพราะมัวแต่ดูลมเข้า-ลมออกภายในกาย แทนที่จะอยู่เฝ้าที่ประตู เข้าใจแล้วค่ะ ตาสว่างจริงๆ และโยมก็จะนำมาปฏิบัติต่อไปค่ะ

ส่วนตรงเรื่องจิตส่งออกโยมเคยเป็นบ่อยมาก เข้าใจว่าเป็นกระแสความไวของจิต และความแรงที่มากระทบต่อขันธ์จนเกิดเวทนาในหรือเวทนานอก เพราะบางทีมีคนเขานึกถึงโยม โยมก็จะมีอาการแปลกๆ หรือบางทีก็ได้ยินเสียงหรือได้กลิ่น จนบางทีรู้สึกว่าไม่รู้ตัวเองเป็นปกติหรือเปล่า แต่ก็พยายามไม่ให้ค่ากับสิ่งเหล่านั้น

โยมดีใจที่หลวงพ่อเมตตาตอบปัญหาให้เร็วทันใจ อันนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่เขียนมาเล่าให้หลวงพ่อฟัง และก็เขียนมากราบขอบพระคุณหลวงพ่อที่เมตตาเจ้าค่ะ เพราะโยมมัวแต่ไปกินดินโป่ง เลยไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา พึ่งจะมาเปิดเจอหลวงพ่อเมื่อเดือนนี้เอง และก็ฟังทุกวัน รู้เลยว่าถูกจริต เพราะสิ่งที่หลวงพ่อเทศน์มาทั้งหมด ถึงแม้โยมจะภาวนาไม่เป็น แต่ก็พอฟังและเข้าใจง่ายต่อหลักการปฏิบัติค่ะ กราบนมัสการ

ตอบ : นี่เขาเขียนมา เห็นไหม ว่าเขาไปกินดินโป่งอยู่ตั้งนาน อะไรมันกินดินโป่งล่ะ? นี่ไปกินดินโป่งอยู่ตั้งนาน พึ่งมาเจอเมื่อเดือนนี้ก็ยังดี ฉะนั้น ปัญหามันเคลียร์ไปแล้ว เรื่อง “ธาตุลม” ทีนี้เขาเขียนมาขอบคุณ

ฉะนั้น เขาบอกว่ามันมีประเด็นหนึ่ง ประเด็นที่ว่า

“ไม่ได้กล่าวโทษหลวงปู่ลีหรือครูบาอาจารย์องค์ไหน เพียงแต่ว่าโยมคิดการภาวนา”

ก็ไม่ได้โทษ เพียงแต่ว่าเราต้องยกไว้ไง เราจะยกครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ของเราเป็นองค์ที่เราลงใจ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของสังคม ถ้าเขาสั่งสอนกัน เราไม่ลงใจ เราก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เพียงแต่เราพยายามจะพูดถึงว่าครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม เช่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี หลวงปู่ตื้อ หลวงตาท่านพูดประจำ

“นี้คือพระอรหันต์ทั้งนั้น ถ้าพระอรหันต์นี่คำสอนของท่านไม่ผิดหรอก แต่พวกเราฟังแล้วตีความผิด”

ฉะนั้น เวลาวันนั้นเขียนมาถึงหลวงปู่ลี เราจะตัดออกก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วคำถามจะมีระบุถึงครูบาอาจารย์ที่เขาเอาประสบการณ์นั้นมา เราจะยกหมดแหละ เราจะไม่พูดถึง ทีนี้เพียงแต่วันนั้นพูดถึงหลวงปู่ลี เห็นไหม ว่าศึกษาตามแนวทางหลวงปู่ลี หลวงปู่ลี วัดอโศการามนะ แล้วมีอาการอย่างนี้ๆ เราเห็นว่าหลวงปู่ลีท่านสอนถูกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราจะเข้าใจถึงสัจจะความจริง แล้วปฏิบัติได้ตามนั้นไหม?

ฉะนั้น เราถึงบอกยกหลวงปู่ลีไว้ก่อนไง เพราะถ้าอ่านอย่างนั้นแล้วไม่ได้พูดเป็นประเด็นไว้ คนก็จะเข้าใจว่า เห็นไหม คนจะเข้าใจว่า ที่เราพูดประเด็นนี้กลัวคนเข้าใจว่า เพราะบอกว่าปฏิบัติตามหลวงปู่ลี แล้วผลออกมามันเป็นอย่างนี้ๆ มันผิดไง มันผิดหมายความว่าเราปฏิบัติไปแล้วเราเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลม เพราะลมมันเป็นอากาศ เราอาศัยสิ่งนั้นเกาะไป เหมือนเด็ก เด็กนี่มันจะฝึกหัดเดิน เขาจะมีแนว มีรั้ว มีสิ่งใดให้เด็กเกาะหัดเดินไป พอเด็กมันเดินเป็นแล้ว มันไม่เกาะรั้ว มันทิ้งรั้วเลย นี่มันจะเดินของมันเป็น

นี่ก็เหมือนกัน คำแนะนำของครูบาอาจารย์เรา มันเป็นแค่ให้เราเกาะฝึกหัดใจเราไป ถ้าเราฝึกหัดไปมันก็จบใช่ไหม? ฉะนั้น สิ่งที่โยมคนนี้เขาเขียนมาว่าเขาไม่ได้กล่าวโทษหลวงปู่ลี เราก็ไม่ได้กล่าวโทษ แต่พอมันเป็นประเด็นขึ้นมาเราก็จะพูดให้เห็นว่าหลวงปู่ลี พูดถึงครูบาอาจารย์ของเราท่านล่วงไปแล้ว แล้วท่านทำธุระของท่านสำเร็จไปหมดแล้ว ท่านจะไม่มีได้ผลดี ผลเสียไปกับพวกเราหรอก ท่านจะไม่มีมาได้มาเสียอะไรกับเรา แต่เราต่างหาก พวกเราต่างหากอาศัยแนวทาง ร่องรอยจารึกของครูบาอาจารย์ แล้วฝึกหัดตนเอง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์ท่านนิพพานไปแล้วแหละ แต่ธรรมและวินัยวางไว้ให้พวกเราเดิน ทีนี้พวกเราเดินพวกเรามีกิเลสไง พอเรามีกิเลสเราไม่เข้าใจ พอเราไม่เข้าใจเราก็ว่าทำไมทำแล้วมันเป็นอย่างนั้นๆ นี่ประเด็นอย่างนี้เรามาพูดให้เห็นเท่านั้นเอง กรณีนี้เราก็ไม่ได้ว่าโยม เพราะเราเข้าใจว่าโยมก็หวังดี แต่ทีนี้ความหวังดี เหมือนเรานี่เหมือนเด็ก เด็กนี่นะเห็นผู้ใหญ่พูดอย่างใด ผู้ใหญ่ทำอะไรมันจะทำตามนะ สังเกตได้เด็กๆ นี่มันอยากจะเล่นเป็นผู้ใหญ่ แต่พอมันเป็นผู้ใหญ่แล้วนะมันจะเป็นเด็ก คือมันไม่ทำงาน เวลาเป็นเด็กๆ อยากเล่นเป็นผู้ใหญ่นะ รับผิดชอบเป็นผู้ใหญ่หมดเลย พอเป็นผู้ใหญ่แล้วนะมันไม่เอาแล้ว มันไม่เอา

อันนี้ก็เหมือนกัน นี่เราบอกว่าครูบาอาจารย์เหมือนผู้ใหญ่ เราก็ว่าจะทำอย่างนั้นๆ แต่จริงๆ พอเราไปทำแล้วมันไม่เป็นอย่างนั้นไง มันไม่เป็นอย่างนั้นเราต้องวางของครูบาอาจารย์ไว้ก่อน แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติไป ถ้าปฏิบัติแล้ว พอจบแล้วมันก็จบอย่างนี้ ทำไปเรื่อยๆ เพราะคำบริกรรมเป็นที่เกาะของใจ

นี่กรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการ ๔๐ วิธีการให้เราเกาะ ให้ใจได้เกาะ เพราะใจนี้เป็นนามธรรม ไม่อาศัยสิ่งใดเกาะไว้มันจะทรงตัวมันไม่ได้ ต้องอาศัยสิ่งนี้เกาะ พอเกาะๆๆ จนมันทรงตัวได้นะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ จนมันปล่อยพุทโธหมด มันเป็นตัวมันเอง พุทโธกับเนื้อพุทโธ เหมือนชื่อกับตัวเรา นี่ทุกคนมีชื่อนะ เวลาไปไหนต้องเซ็นชื่อหมดแหละ แต่ไอ้ลายเซ็นนี่กินไม่ได้หรอก ไอ้เรานี่ได้กินหรือไม่ได้กิน เราได้กิน นี่รู้ตัวเอง

นี่ก็เหมือนกัน พูดถึงถ้าเขาบอกว่าเขาซึ้งใจมาก ก็ถือว่าเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ก็จบเนาะ เป็นประโยชน์ก็จบ แล้วอย่างที่ว่านี่พิจารณาไป คำว่าไปกินดินโป่งอยู่นาน เดี๋ยวนี้ฟังแล้วเข้าใจ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า “มันเป็นกาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อว่าเป็นอาจารย์เรา อย่าเชื่อว่าสิ่งนั้นถูกต้องและไม่ถูกต้อง อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ประพฤติปฏิบัติก่อน ปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง แล้วเราจะรู้จริง”

อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งใดง่ายๆ นะ ถ้าเราไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เราก็จะไม่เสียหายง่าย เรารักษาตัวเราไว้ อย่าเพิ่งเชื่อสิ่งใด เราต้องทำตัวเราให้เป็นประโยชน์ก่อน ถ้าเป็นประโยชน์แล้วนะให้ภาวนา เพราะภาวนาไปแล้วเป็นปัจจัตตัง เสาหลักปักลงไปในดิน ๔ ศอก โผล่จากดินขึ้นมา ๔ ศอก ลมจะพัด พายุจะกระหน่ำขนาดไหน เสานั้นจะมั่นคง นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติแล้วเรารู้ เราเห็นของเรานะ ลมมันจะแรงขนาดไหน ไอ้ความเห็นจริงอันนั้นมันจะมั่นคงของเรา

นี่ปัจจัตตัง พุทธศาสนาสำคัญตรงนี้ สำคัญในการประพฤติปฏิบัติให้เห็นตามความเป็นจริง แล้วเราจะได้ประโยชน์

ข้อ ๘๒๙. นะ

ถาม : ๘๒๙. เรื่อง “ปรากฏการณ์ดวงสว่างคืออะไรกันแน่?”

นมัสการหลวงพ่อ เนื่องจากมีปรากฏการณ์ที่เกิดกับโยมอย่างหนึ่ง คือกราบเรียนถามมายังหลวงพ่อ โดยโยมไม่เคยกราบหลวงพ่อด้วยตนเองที่วัด หากมีโอกาสคงจะได้มา โยมอยู่เชียงใหม่ (เขาว่านะ)

กรณีหนึ่งมันเห็นแสงสว่าง เขาเห็นแสงสว่างบนเนินเขา โดยเฉพาะชาวบ้านจะเห็นกันบ่อย โยมได้ฟังจากชาวบ้าน อีกกรณีหนึ่งเพื่อนของโยมบ้านเขามองเห็นดอยสุเทพได้ชัดเจน ดอยสุเทพอยู่ทางทิศตะวันตก วันหนึ่งเขามองเห็นเป็นพระอาทิตย์ ๒ ดวง เขางงว่าทำไมมี ๒ ดวง ประเดี๋ยวหนึ่งก็หายไป จึงเข้าใจว่าดวงพระธาตุ เขาหมายถึงว่าพระบรมสารีริกธาตุแสดงให้เห็น

ปรากฏการณ์ที่บ้านของโยมคือวันหนึ่งประมาณตี ๔ ตี ๕ เดินจงกรมอยู่ภายในบริเวณบ้าน โยมเห็นดวงสว่างเคลื่อนมาให้เห็นในระดับเหนือรั้วบ้าน ห่างจากโยมประมาณ ๑๕ เมตร แล้วก็เคลื่อนที่ไปทางซ้ายลับต้นไม้ไป

บ้านโยมอยู่ห่างจากเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑๐ กิโลเมตร ไม่ไกลจากบ้านโยมประมาณ ๔ กิโลเมตรจะมีวัดพระธาตุอยู่บนดอยเล็กๆ มีพระเกศาธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรจุอยู่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นดวงสว่างของพระธาตุจากวัดนั้นมาปรากฏให้เห็น โยมสงสัยว่าจะเป็นดวงไฟจากยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า โยมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อ หลวงพ่อมีความเห็นอย่างใดเกี่ยวกับเรื่องดวงสว่างที่โยมยกมาถามนี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ตอบ : อันนี้ดวงสว่าง ความเห็นเป็นดวง เป็นอะไรต่างๆ ถ้าพูดถึงเป็นไสยศาสตร์ เห็นไหม ถ้าเป็นไสยศาสตร์นะ ไสยศาสตร์มันก็มีเรื่องคุณไสย เรื่องทำกำลังของจิตให้เป็นดวง เป็นอะไรนี่เขาทำได้ อย่างเช่นที่หลวงตาท่านเล่าบ่อยเรื่องขี่เสือ การขี่เสือ พวกไสยศาสตร์นี่นะเขาจะเพ่งของเขา เขาจะสวดมนต์ของเขา ร่ายมนต์ของเขา เขาเรียกเสือมาขี่ได้ นี่ไสยศาสตร์มันมี

ฉะนั้น จะบอกว่าดวงนี่นะถ้าเป็นไสยศาสตร์ เห็นไหม เป็นพวกผีปอบ พวกสิ่งนี้มี เราเคยเห็น เราเคยเห็นอย่างนี้มี แล้วเราเคยคุยกับเขาด้วย บางคนเราก็เคยคุยกับเขา สิ่งนี้เป็นเรื่องไสยศาสตร์ แต่ถ้าเป็นเรื่องพระธาตุ เรื่องพระธาตุ เรื่องต่างๆ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้น จิตที่มันซ้อนกันอยู่ ดูสิกามภพ รูปภพ อรูปภพ

กามภพ เห็นไหม สิ่งที่ตั้งแต่เทวดาลงมา พวกนี้พวกเสพกาม รูปภพ นี่รูปฌาน อรูปฌาน พวกพรหม นี่แล้วมันซ้อนกันอยู่นี่ใครเห็น? เวลาจะไปเที่ยวสวรรค์กัน ขึ้นไปในอวกาศไม่เจอหรอก ไม่มี แต่ในมิตินะ พอทำจิตเข้าไปเป็นสัมมาสมาธิ จิตเป็นกลาง นี่ตรงนี้มันจะไปไหนล่ะ? มันพลิกไปได้หมดแหละ เห็นไหม เขาเข้าไปในลับแล เขาเข้าไปในอะไร นี่สิ่งที่เขาทำของเขาได้ จะบอกว่าสิ่งที่จะทำได้มันต้องมีความเป็นจริงรองรับ คือมีภพ มีสถานที่แบบนั้นจริงๆ แล้วจิตของเรานี่เข้าได้หรือเข้าไม่ได้ อันนี้เป็นความจริงอันหนึ่งนะ นี่พูดถึงสามโลกธาตุ

ฉะนั้น พอสามโลกธาตุ นี่เป็นสิ่งที่เป็นสถานที่ เป็นภพ เป็นที่อยู่อาศัย แล้วจิตนี่จิตนี้เป็นกลาง แล้วมันหมุนไป ฉะนั้น ในประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่าตอนอยู่ที่เชียงใหม่ เห็นไหม นี่เชียงใหม่ พวกเทวดา พวกต่างๆ มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นคึกคักไปหมดเลย บนเชียงใหม่ แต่พอมาภาคอีสานท่านบอกว่าพวกเทวดา พวกอะไรนี่มาฟังเทศน์เหมือนกัน แต่จำนวนน้อยลง จำนวนน้อยลง ฉะนั้น มันเป็นสถานที่ไง สถานที่ไหนเป็นมงคล สถานที่ที่ไหนเป็นป่า เป็นเขานี่มันจะมีของมัน อันนี้ยกไว้เรื่องสถานที่ก่อน ถ้ายิ่งพูดไปๆ นะ เดี๋ยวไอ้คนพูดมันก็จะงง เดี๋ยวคนพูดมันจะงง แล้วมันจะงงไปใหญ่เลย

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเห็นเป็นพระบรมสารีริกธาตุ มองขึ้นไปบนดอยสุเทพ นี่ใครเห็น ใครไม่เห็นมันก็เป็นเฉพาะบุคคลนะ แล้วถ้าเราเห็นนี่นะ ส่วนใหญ่แล้วจะเห็นวันพระ วันโกน ถ้าวันพระ วันโกนอันหนึ่ง แล้วผู้ที่ปฏิบัติอยู่ในป่า คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีเขาก็เห็นของเขาเหมือนกัน บางคนถ้าเขาเห็นของเขา เขารู้ของเขา แต่ถ้าคนไปกัน ๒ คน เห็นคนหนึ่ง คนหนึ่งไม่เห็นนะ คนที่เห็นเขาจะไม่พูดให้คนที่ไม่เห็นมาโต้เถียงกัน

นี่อำนาจวาสนาของคนมันไม่เหมือนกันไง แม้แต่มองไปในสถานที่เดียวกัน คนหนึ่งมองเห็น คนหนึ่งมองไม่เห็นอย่างนี้ก็มี อย่างนี้ก็มีนะ เวรกรรมของคนมันไม่เหมือนกัน ฉะนั้น อย่างที่ว่านี่ถ้ามองขึ้นไปบนดอยสุเทพเห็น แล้วเดี๋ยวก็หายไป นี่เห็นแล้วเราก็เก็บไว้เป็นวาสนาของคน แต่ถ้าเป็นเรื่องของโยมล่ะ? เรื่องของโยมบอกว่า

ถาม : อยู่ที่บ้าน แล้วกลางคืนเดินจงกรมอยู่ เห็นดวงสว่างลอยห่างจากบ้านประมาณ ๑๕ เมตร

ตอบ : เห็นดวงสว่าง เห็นไหม เห็นดวงสว่าง เวลาในประวัติหลวงปู่มั่น มีพระองค์หนึ่งประพฤติปฏิบัติ เวลาจิตมันรวมลง นี่เวลารวมลง จิตรวมลง จิตจะรู้เห็นสิ่งต่างๆ มันทำให้อยากรู้ อยากเห็น แล้วมีวันหนึ่งจิตนี้รวมลง เห็นเป็นดวง เห็นเป็นดวงเหมือนพระจันทร์เลยแล้วลอยไป ลอยไป นี่พระองค์นั้นลุกขึ้นเดินตามดวงนี้ไป พอตามดวงนี้ไป ดวงนี้ก็ลอยสูงขึ้นๆ พระองค์นี้ได้ปีนต้นไม้เพื่อจะให้ไปจับดวงนี้ให้ได้ ดวงนี้ก็ลอยขึ้นต้นไม้ไป ลอยขึ้นต้นไม้ไป พระนี้ก็ปีนขึ้นไป

นี่เดี๋ยวจะมีประเด็นหลายประเด็นมาก พอพระองค์นี้ปีนขึ้นไป พอปีนขึ้นไปถึงบนต้นไม้ เห็นไหม ดวงนั้นแว็บหายไปเลย พระองค์นั้นร้องไห้นะ ร้องไห้ตกใจไง ตกใจเวลาเห็นโทษมันแล้วตกใจมากเลย นี่พอตกใจมากร้องไห้ พอร้องไห้เสียงดังขึ้นมา พระที่อยู่ด้วยกันก็ออกมาดู แล้วค่อยๆ ปลอบประโลมแล้วเอาลงมาจากต้นไม้นั้น

ฉะนั้น กรณีนี้หลวงตาจะเล่าเรื่องนี้บ่อย หลวงตาเล่าเรื่องนี้บ่อยเพราะอะไร? เพราะหลวงตาได้เห็นคนๆ นี้ด้วย คนๆ นี้เขาสึก ตอนที่เขาเป็นพระ เขาภาวนาไปเขาจะรู้เห็นอะไรแปลกๆ มาก สุดท้ายแล้วเขาสึกไป พอสึกไป วันที่หลวงตาไปพัก เขาอยู่หนองคาย คนๆ นี้ก็มากราบ พระที่เห็นคนนี้ๆ คนที่เล่าให้ฟังนี่ ที่เอามาเขียน

ประเด็นคือหนึ่งจิตมันสงบแล้วเห็นดวง ถ้าเห็นดวงมันเป็นแต่ละบุคคลนะ ทีนี้เห็นดวง ถ้าเห็นดวง เห็นไหม ถ้าเราเห็น เวลาจิตสงบแล้วเห็นให้ดึงเข้ามาที่ตัวเรา เวลาใครจิตสงบมันจะเห็นเป็นดวง ดวงนี้จะลอยอยู่ข้างหน้าก็แล้วแต่ หรือจะวิ่งมาชนเราก็แล้วแต่ นี่ถ้ามันส่งออกไปเราจะตามมันไป ถ้าเราดึงเข้ามามันจะอยู่กับเรา ดึงเข้ามาเป็นตัวเรา พอมันเข้ามา พุทโธ พุทโธถ้าเห็นเป็นดวงนะ นี่น้อมใจไง ใจนี่น้อมให้ดวงนั้นเคลื่อนเข้ามา เคลื่อนเข้ามาหาเรา ไม่ใช่ตามไป ให้เคลื่อนเข้ามาหาเรา เคลื่อนเข้ามาหาเรา เคลื่อนเข้ามาสู่เป็นเราเลย พอเป็นเราปั๊บมันก็จะมาสู่อย่างนี้ มันก็จบไง แต่ถ้าเราออกไปนะจบเลย เราตามเขาไป

ฉะนั้น ดวงที่พระองค์ที่สึกไปนี้เห็นนะ นี่นั่งสมาธิอยู่เห็นดวงนั้น ลืมตาก็เห็น ดวงนั้นเคลื่อนไปก็ตามดวงนั้นไป ดวงนั้นลอยสูงขึ้นก็ปีนต้นไม้ขึ้นไป นี่ทำให้ตายได้นะ ถ้าดวงๆ นั้นลอยไปที่หน้าผา ลอยไปในที่หุบเหว แล้วถ้าเดินไปตกหุบเหวล่ะ? นี่มันเป็นโทษได้ไง มันเป็นโทษ พอมันเป็นโทษ นี่พอขึ้นต้นไม้แล้วดวงนี้หายไปก็ลงมาได้ ฉะนั้น สิ่งที่เป็นดวงต่างๆ ถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุจะพาคนให้ไปประสบอุบัติเหตุไหม? ถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุต้องส่งเสริมให้คนๆ นั้นภาวนาดี ต้องส่งเสริมให้คนๆ นั้นทำสิ่งที่ถูกต้อง

นี่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าเป็น เพราะเราจะบอก เห็นไหม อย่างที่ว่า ถ้าเป็นกระสือ เป็นอะไรนี่มันก็เป็นดวงเหมือนกัน เราจะบอกว่าดวงนี่เราจะแยกอย่างไร ว่าดวงใดเป็นดวงพระบรมสารีริกธาตุ ดวงใดเป็นดวงแบบไสยศาสตร์ นี่เวลาคนภาวนาไปมันยังมีอีกนะ ที่เราภาวนากันเราต้องมีครูบาอาจารย์ไง เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แยกแยะตรงนี้ แต่ถ้าเราเห็นดวงของเรา เราจะเห็นพระจันทร์ อย่างเช่นพระจันทร์ยิ้มต่างๆ เราไม่ตื่นเต้น เราไม่ไปยุ่งมัน มันก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้ามันเป็นเวร เป็นกรรมมันจะมีการกระทำ แล้วมันจะมีการต่อเนื่องกันไป พอต่อเนื่องไปนี่มันคล้อยตามไป มันจะเกิดผลเสียไง

ฉะนั้น แต่ถ้าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ มีพระพวกเราเห็นกันเยอะ แต่เห็นแล้วก็สาธุ นี่สาธุ เราเห็นแล้วก็คือเห็น นี่ไม่ไปตื่นเต้นแบบนั้น ฉะนั้น ดวงสว่าง ดวงสิ่งใด แต่ถ้าดวงอย่างนี้นะมันก็เหมือนที่หนองคายเนาะ เวลามันผุดมาจากแม่น้ำโขง เห็นไหม มันก็เป็นดวงเหมือนกัน ฉะนั้น เราจะเอาสิ่งใดเป็นเครื่องตัดสินไง ทีนี้พอเครื่องตัดสินปั๊บนี่ส่งออก การส่งออกทั้งหมดเป็นสมุทัย ผลที่เกิด ผลของการส่งออกเป็นกิเลส แต่ถ้าย้อนกลับ ทวนกระแสกลับมาในหัวใจสิ่งนี้เป็นมรรค ผลของการที่เกิดจากมรรคคือเกิดปัญญาการชำระกิเลส

ผลของมรรค ผลของการทวนกระแสกลับเข้ามาในใจ ผลของการตามส่งออกไป การส่งออกเกิดจากสมุทัย ผลของมันคือทุกข์ ผลของมันคือการผิดพลาด แต่ถ้าเป็นมรรค เห็นไหม ทวนกระแสกลับเข้ามาในใจ ถ้าทวนกระแสกลับเข้ามาในใจ นี่ผลของมันเป็นมรรค ผลของมันเป็นการชำระกิเลส ผลของมันคือเอากิเลสของเรามาตีแผ่ นี่พูดถึงการปฏิบัติ นี่พูดถึงอริยสัจ

ฉะนั้น คำถามถามมาไง คำถามถามมา ถ้าปรากฏการณ์ของดวงสว่าง เพราะเราก็เคยพูดถึงดวง เราก็เห็นของเราเหมือนกัน เวลาอยู่ในป่าในเขานะ ตอนนี้เห็นแต่พระจันทร์ กลางคืนพระจันทร์เต็มดวง ฉะนั้น การเห็นแล้วเราต้องแยกแยะ แยกแยะนะ เพราะใจเรามีกิเลส เพราะใจเรามีกิเลสเราต้องแยกแยะของเราว่าอะไรถูก อะไรผิด แต่ทางเชียงใหม่นี่หลวงปู่มั่นท่านบอกไว้เทวดาเยอะมาก เทวดาก็เยอะ สรรพสิ่งก็เยอะในป่าในเขา

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นชัยภูมิที่ดี สิ่งที่เห็นต้องมีอยู่แล้ว แล้วอย่างที่โยมถามมาครั้งสุดท้าย บอกว่า “โยมสงสัยว่าจะเป็นดวงไฟของยานอวกาศมนุษย์ต่างดาว” นี่ไม่ต้องไปพูดถึงมันเลย อันนี้เราไม่ต้องไปพูดถึงเลย เราพูดถึงสิ่งที่เป็นวัฏฏะวน นี่กามภพ รูปภพ อรูปภพมันก็มหาศาลอยู่แล้ว ฉะนั้น อย่างนี้เป็นมนุษย์อวกาศมันเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ไปแล้วนะ นี่เราพูดถึงเรื่องธรรม

ฉะนั้น สิ่งที่เรารู้เราเห็นแล้วเราก็วางไว้ กลับมาที่พุทโธ กลับมาที่ประพฤติปฏิบัติ กลับมาที่ระงับความทุกข์ในหัวใจ แล้วเอาใจของเราให้ร่มเย็น แล้วประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าพ้นจากทุกข์ได้ นี้จะเป็นสมบัติของเรา เอวัง